สาวเรียนเสริมสวยวัย 26 ปีชาวตำบลขมิ้น อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ จูงมือสามีอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ โร่แจ้งความตำรวจ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ หลังบัญชีเงินฝากถูกธนาคารอายัด เชื่อถูกมิจฉาชีพนำหลักฐานไปเปิดบัญชีหลอกชาวบ้านโอนเงิน สุดงง! ตรวจสอบสเตทเม้นท์มีเงินโอนเข้าครั้งละ 10-150 บาท สูงสุด 1,500 บาท รวมยอดเงิน 29,700 บาท กลัวมีความผิดเข้าข่ายบัญชีม้า รีบแสดงตัวยืนยันความบริสุทธิ์ วอนตำรวจตามตัวคนร้ายดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
7 สิงหาคม 2567 ที่ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ นางสาวลลิตา พลลือหาญ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 76 หมู่ 1 ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนายธติพงษ์ ควรชัย อายุ 27 ปี สามีและลูกชายวัย 2 ขวบ นำเอกสารเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ช่วยติดต่อธนาคารและตำรวจ สภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีถูกมิจฉาชีพ นำหลักฐานของตนไปเปิดบัญชีรับโอนเงินและมีผู้เสียหายแจ้งอายัดบัญชี โดย พ.ต.อ.อิทธิเดช สุนทร ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ มอบหมาย พ.ต.ท.สมทรง เวียงปฏิ สว.(สอบสวน) ร่วมกับพนักงานสอบสวน รับแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน
นางสาวลลิตา พลลือหาญ กล่าวว่า ทุกวันนี้ตนกับสามี เป็นทุกข์ใจอย่างมาก เนื่องจากตนกำลังจะถูกตำรวจ สภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี และอาจจะถูกตำรวจหลายท้องที่ ดำเนินคดีในข้อหาหลอกลวง เปิดบัญชีรับโอนเงินของธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ (ธ.กรุงศรีฯ ปิดชื่อธนาคารด้วยครับ) ทั้งๆที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ที่ผ่านมาไม่เคยรับจ้างโอน หรือไม่ได้ถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้าแต่อย่างใด และที่ผ่านมาไม่เคยไปเปิดบัญชีใดๆกับธนาคารแห่งนี้เลย ที่เคยเปิดบัญชีไว้มีแค่ 2 ธนาคารคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ กับธนาคารกรุงไทยเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นโดยมีชื่อตนเป็นเจ้าของบัญชีรับโอนเงิน กับธนาคารดังกล่าว กระทั่งทราบว่ามีผู้เสียหายแจ้งความอายัด ส่งผลให้บัญชีเงินฝากอีก 2 ธนาคารของตนถูกอายัดด้วย ทำให้ตนงุนงงมากว่า เกิดเรื่องนี้ขึ้นอย่างไร ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นการกระทำของมิจฉาชีพ
นางสาวลลิตา กล่าวอีกว่า ตนรู้ว่าบัญชีเงินฝาก ธนาคารไทยพาณิชย์และบัญชีธนาคารกรุงไทยของตนถูกอายัด เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา โดยไปซื้อของในตลาดและจะสแกนจ่ายเงินผ่านแอปธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งมีเงินอยู่ประมาณ 3,400 บาท แต่ไม่สามารถโอนจ่ายได้ มีข้อความระบุขึ้นมาว่าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ของตนถูกอายัด จึงได้ไปติดต่อธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาในตัวเมืองกาฬสินธุ์ที่เปิดบัญชีไว้ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารว่า บัญชีของตนที่ไปเปิดไว้กับธนาคารแห่งหนึ่ง สาขากาฬสินธุ์ ถูกอายัด จึงทำให้การทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงินทุกอย่าง ในระบบธนาคารทุกธนาคารของตนไม่สามารถดำเนินการได้ ขอให้ไปติดต่อกับธนาคารแห่งนั้นเอง
นางสาวลลิตากล่าวเพิ่มเติมว่า พอได้ยินเจ้าหน้าที่ธนาคารพูดดังกล่าว ทำให้ตนรู้สึกมึนงงและตกใจมาก เนื่องจากตนไม่เคยไปเปิดบัญชีกับธนาคารแห่งนั้นเลย และรู้สึกกลัวความผิดมาก หากมิจฉาชีพเอาหลักฐานประจำตัวของตนไปเปิดบัญชีกับธนาคารดังกล่าว จึงได้รีบไปติดต่อกับธนาคารดังกล่าว ก่อนที่จะได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ธนาคารฯว่า มีการเปิดบัญชีกับธนาคารแห่งนี้ทางออนไลน์ โดยไม่มีเอกสารหรือหลักฐานการเปิดบัญชีของตน ก็ยิ่งทำให้ตนสงสัยและตกใจมากขึ้น จึงได้ขอดูสเตทเม้นท์กับทางธนาคาร พบหลักฐานการเปิดบัญชีครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.67 จำนวน 0 บาท ต่อมามีรายการเงินโอนบัญชีเข้าหลายครั้ง ส่วนใหญ่ครั้งละ 10 บาท บางครั้ง 150 บาท สูงสุด 1,500 บาท มียอดหมุนเวียนในบัญชีกว่า 50,000 บาท โดยมียอดเงินในบัญชีจำนวน 29,700 บาท ก่อนที่บัญชีจะถูกอายัด
“พอเห็นหลักฐานดังกล่าวตนตกใจแทบช็อค ยืนยันว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็นการกับเปิดบัญชีของธนาคารนี้ และเงินที่โอนเข้าแต่ละครั้งมันก็เป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก หากเป็นการเปิดบัญชีเงินฝากทั่วไปหรือบัญชีม้าตามที่เป็นข่าวบ่อยๆ จำนวนเงินโอนเข้าน่าจะมีจำนวนมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ตนได้สอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคารฯว่า ใครเป็นคนแจ้งอายัด ก็ได้รับคำตอบว่าแจ้งอายัดมาจากตำรวจ สภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ด้วยความร้อนใจ กลัวความผิด ก็รีบค้นหาเบอร์โทรของ สภ.บ้านหมอ พอได้เบอร์เจ้าหน้าที่ตำรวจที่แจ้งอายัด ก็โทรศัพท์สอบถาม ทราบว่ามีผู้เสียหายถูกหลอกโอนเงินเข้าบัญชีนี้มาร้องทุกข์ จึงได้แจ้งความและขอให้อายัดบัญชี ตนจึงได้นัดหมายเดินทางไปแสดงตัว ยืนยันความบริสุทธิ์ ว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็นกับบัญชีดังกล่าว โดยเดินทางไป สภ.บ้านหมอเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา” นางสาวลลิตากล่าว
นางสาวลลิตากล่าวในตอนท้ายว่า พอเดินทางไปพบตำรวจ สภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตนดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตนติดต่อไว้ ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่แจ้งอายัด ได้บอกกับตนว่า ให้หาเงินไปชดใช้ผู้เสียหาย เรื่องก็จะได้จบ หากหาเงินมาไม่ทันวันที่ 9 ส.ค.นี้ ก็จะออกหมายเรียก มารับทราบข้อกล่าวหาและจะต้องถูกดำเนินคดี พอได้ยินประโยคนี้ทำให้ตนตกใจ แทบเป็นลม รู้สึกสับสน มึนงงไปหมด ตั้งใจเดินทางไปยืนยันความบริสุทธิ์ของตน ก็ไม่ต่างกับถูกแจ้งข้อกล่าวหาหนัก ความรู้สึกไม่ต่างกับถูกยัดเยียดข้อหา จึงได้เดินทางแจ้งความร้องทุกข์และขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ให้ช่วยติดต่อกับทางธนาคารฯ และตำรวจ สภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียดด้วย อย่าเพิ่งออกหมายเรียกและแจ้งข้อหาตนเลย เพราะตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ได้เปิดบัญชีกับธนาคารนี้จริงๆ ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการกระทำของมิจฉาชีพ ที่นำหลักฐานประจำตัวของตนไปเปิดบัญชีไว้ ขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเปิดบัญชีหลอกชาวบ้านโอนเงินแต่อย่างใด
ด้านนายธติพงษ์ ควรชัย อายุ 27 ปี สามีนางสาวลลิตากล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ทุกคนในครอบครัวและญาติพี่น้องที่ทราบข่าว ต่างตกใจและมึนงงมาก ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ย่างไร ทุกวันได้แต่ร้อนใจและนั่งปรับทุกข์กัน เพราะกลัวความผิด เนื่องจากเป็นความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ทั้งนี้ ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของนางสาวลลิตา ว่าไม่เคยไปเปิดบัญชีดังกล่าว จึงมาแจ้งความขอความเป็นธรรมและขอความเห็นใจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทางธนาคารด้วย ให้ช่วยตรวจสอบให้แน่ชัด หาคนทำผิดตัวจริงมาลงโทษตามกฎหมาย
นายธติพงษ์กล่าวอีกว่า ตนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา หาเช้ากินค่ำ ทำนาและรับจ้างทั่วไป ส่วนนางสาวลลิตาก็กำลังเรียนเสริมสวย เพื่อที่จะช่วยกันหาเงินเลี้ยงลูก 2 คน คนโตอายุ 7 ขวบและคนเล็ก 2 ขวบเศษ หากถูกดำเนินคดีทั้งๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็คงเป็นทุกข์มาก เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงได้มาแจ้งความแสดงความบริสุทธิ์ และวอนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ช่วยประสานตำรวจ สภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี รวมทั้งทางธนาคารฯ ให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย เพราะไม่อยากเห็นนางสาวลลิตาเป็นแพะรับบาปให้กับมิจฉาชีพ
ขณะที่ พ.ต.ท.สมทรง เวียงปฏิ สว.(สอบสวน) สภ.เมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังรับแจ้งความ และสอบถามนางสาวลลิตา ที่ยืนยันว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวแล้ว ในขั้นตอนต่อไป ก็จะได้ประสานกับ สภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป