29 กรกฎาคม 2567 จากการติดตามบรรยากาศการเก็บผลผลิตมันสำปะหลัง ของชาวไร่มันในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ในช่วงนี้ พบหลายรายที่มันสำปะหลังได้อายุ 6-7 เดือนพร้อมเก็บผลผลิต กำลังระดมแรงงานเก็บเกี่ยว เพื่อให้แล้วเสร็จก่อนที่ฝนจะตกชุก หรือเกิดภาวะน้ำท่วม ที่จะเป็นสาเหตุทำให้หัวมันสำปะหลังเน่าเสียหาย ขณะเดียวกันพบว่ามีชาวไร่มันสำปะหลังจำนวนไม่น้อยที่เก็บเกี่ยวไม่เสร็จ และมีจำนวนอีกมากที่ปล่อยให้ต้นมันสำปะหลังในไร่ เติบโตเองตามธรรมชาติ โดยไม่ใส่ปุ๋ยเคมีหรือฉีดฮอร์โมนบำรุง ทำให้ต้นมันสำปะหลังจำนวนหลายร้อยไร่ แคระแกรน ไม่เติบโตตามอายุ
นายมนูญ ขนันแข็ง ประธานกลุ่มวิสาหกิจแปลงใหญ่มันสำปะหลัง บ้านหนองกาว ต.นาเชือก อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ชาวไร่มันสำปะหลังฤดูกาลผลิตปีนี้ประสบปัญหามาก นอกจากต้นทุนการผลิตจะสูง ทั้งค่ารถไถ ค่าแรง ค่าปุ๋ย ค่าขนส่ง เฉลี่ยไร่ละ 3,500 บาทแล้ว ในช่วงฤดูกาลเก็บผลผลิต ยังถูกแหล่งรับซื้อกดราคาลงเหลือเพียง ก.ก. 2-2.50 บาทเท่านั้น ขณะที่ปีที่ผ่านมารับซื้อสูงถึง ก.ก.ละ 4-5 บาท ส่งผลให้ชาวไร่มันประสบปัญหาการขาดทุน เพราะต้องลงทุนทุกขั้นตอน และชาวไร่มันสำปะหลัง ไม่มีหลักประกันจากรัฐบาลเหมือนอาชีพอื่น
นายมนูญกล่าวอีกว่า ผลกระทบจากราคารับซื้อหัวมันสำปะหลังตกต่ำดังกล่าว จึงเป็นสาเหตุทำให้ชาวไร่มันหลายรายหมดกำลังใจที่จะลงทุนซื้อปุ๋ยเคมีมาบำรุงต้นมันสำปะหลังที่กำลังเติบโต ส่วนในรายที่กำลังระดมแรงงานเก็บเกี่ยวผลผลิต พอไปขายประสบปัญหาขาดทุน ก็ต้องหยุดเก็บผลผลิตไว้ก่อน เพื่อชะลอการขาย โดยหวังว่าอนาคตอาจจะราคาสูงขึ้น จึงยอมที่จะเสี่ยงต่อภาวะความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในฤดูฝน จากกรณีน้ำท่วมขัง และหัวมันเน่าเสียหาย
นายมนูญกล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่ยังพบว่ามีชาวไร่มันเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่ ทั้งๆที่ราคาขายตกต่ำ เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับความเสียหาย และต้องการเงินไปลงทุนทำนา ใช้หนี้ ธ.ก.ส. ชำระค่าปุ๋ยเคมี ค่าเทอมลูกเรียนหนังสือ หรือรายจ่ายในครอบครัวอื่นๆ สำหรับตนที่มีแปลงปลูกมันสำปะหลังทั้งที่ดินส่วนตัวและเช่าประมาณ 300 ไร่ ลงทุนไปเกือบ 1 ล้านบาท ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตไปขายบ้างแล้ว เพื่อเป็นหมุนเวียน แต่ก็ประสบปัญหาขายมันขาดทุน
“ในนามตัวแทนของชาวไร่มัน กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่มันสำปะหลัง ต.นาเชือก ที่ไม่มีหลักประกันเหมือนอาชีพอื่น จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลเร่งมาตรการช่วยเหลือชาวไร่มัน โดยกำหนดให้แหล่งรับซื้อหัวมันสำปะหลังสดปรับราคาขึ้น รวมทั้งปรับเปลี่ยนราคาประกัน จากตันละ 2,500 บาท หรือ ก.ก.ละ 2.50 บาท เนื่องจากตรึงราคานี้มาหลายปีแล้ว อย่างน้อยเป็นตันละ 3,500 บาท หรือ ก.ก.ละ 3.50 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพในปัจจุบัน ซึ่งหากรับซื้อในราคานี้ เชื่อว่าจะคุ้มทุน สามารถช่วยให้ชาวไร่มันลืมตาอ้าปากได้” นายมนูญกล่าวในที่สุด