นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 5-6 พ.ค.นี้ ว่าการเดินทางลงพื้นในครั้งนี้ ได้ดูปัญหาในทุกมิติ ทั้งเรื่องปัญหาภัยแล้ง ปัญหาน้ำท่วม หนองน้ำและอ่างเก็บน้ำ พยายามแก้ปัญหาในพื้นที่ รวมถึงปัญหาถนนที่ต้องขยาย ให้การจราจรและการคมนาคมเป็นไปได้ด้วยดี โดยช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวถามว่าการลงพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด จะพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้และส่งเสริมข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา ให้ติดอันดับโลกมากขึ้นหรือไม่ นายกฯ กล่าว พร้อมกับยกถุงข้าวโชว์ ว่า ชาวบ้านนำข้าวมาให้ เป็นข้าวหอมมะลิ ที่จะส่งเสริมเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เมื่อถามถึงความต้องการข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ในต่างประเทศ เป็นอย่างไร นายกฯ ตอบว่า สูงมาก ข้าวหอมมะลิเราทราบกันดีว่าผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าข้าวพันธุ์ข้าวธรรมดา จึงต้องมีความพยายามยกระดับให้สูงขึ้น โดยในแง่ของต้นทุนการผลิต ถ้าเราสามารถทำให้ผลผลิตต่อไร่ออกมาเป็น 650 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาข้าวก็จะสูงขึ้น ซึ่งเรื่องการบริหารจัดการน้ำก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่มันต้องใช้เวลา ถึงต้องมาดูด้วยตาตนเอง และเชิญรัฐมนตรีหลายท่านมาด้วย
ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวต่อว่า ในช่วงระหว่างการตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดตลอดสองวันที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรี ยังได้พูดถึงความสำคัญของทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งท่านนายกฯ กล่าวว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิชั้นดี ของจังหวัดร้อยเอ็ด” พร้อมกล่าวถึง การพัฒนาที่ดินทุ่งกุลาร้องไห้ ว่า “เป็นที่ทราบว่าเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ของภาคอีสานครอบคลุม 5 จังหวัด มีศักยภาพในการพัฒนาข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก จึงเป็นข้าวที่พัฒนาอย่างมีคุณภาพและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก จึงสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแลเกษตรกรและพัฒนาการส่งเสริมปลูกข้าวหอมมะลิในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร นอกจากนั้นการจัดการที่ดินและน้ำให้พัฒนาอย่างเหมาะสม สำหรับการเพาะปลูก และจัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อการเกษตรเพื่อให้เกษตรกรมีประสิทธิภาพในการรักษาคุณภาพผลผลิตตลอดปี รวมทั้งจัดหาเมล็ดพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของข้าว เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน”
ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่ “ทุ่งกุลาร้องไห้” เป็นทุ่งกว้างใหญ่ของภาคอีสาน มีพื้นที่กว้างประมาณ 2.1 ล้านไร่ และมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดยโสธร จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดร้อยเอ็ด โดยจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นศูนย์กลางในการปลูกข้าวหอมมะลิในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ มีพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ถึง 47 % เป็นที่ทราบกันดีว่า “ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา” นั้น มีลักษณะโดดเด่นเรื่องความหอม เมล็ดยาว มีความขาวและอ่อนนุ่ม โดยความหอมนวลๆ คล้ายกลิ่นใบเตย เป็นเอกลักษณ์โดยลักษณะสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงที่มีทุ่งกุลาร้องไห้ ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ ดินเค็ม สภาพอากาศแห้งแล้ง จึงทำให้ได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 เป็นสินค้า GI ทั้งในระดับประเทศและในสหภาพยุโรป ในนามของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ที่การเดินทางมาตรวจราชการในพื้นที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้เห็นถึงความสำคัญกับข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ของจังหวัดร้อยเอ็ดเนื่องจากร้อยเอ็ดเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ที่สุด ข้าวของเราถูกจัดอันดับให้เป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลก แบบเกรดซูเปอร์พรีเมียม และจังหวัดร้อยเอ็ดยังเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายข้าวหอมมะลิสู่ตลาดโลก ซึ่งนับเป็นที่ดีที่นายกรัฐมนตรีจะได้มีนโยบายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนส่งเสริมและเชื่อมโยงตลาดข้าวหอมมะลิ ไปสู่ตลาดทั้งภายในและต่างประเทศในทุกช่องทาง
ซึ่งเป็นที่น่าดีใจที่ล่าสุด ท่านนายกฯ ได้โพสต์ผ่าน Facebook เศรษฐา ทวีสิน – Srettha Thavisin ว่า : “ร้อยเอ็ด เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ข้าวหอมมะลิมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ และได้ขึ้นทะเบียนเครื่องบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศครับ วันนี้มีตัวแทนจากสหกรณ์การเกษตรเมืองร้อยเอ็ด นำข้าวหอมมะลิทุ่งกุลามาฝากให้ลอง test ครับ ผมคิดว่าต้องพัฒนา Packaging ให้สวย ให้ดึงดูด และประชาสัมพันธ์ข้าวหอมมะลิชั้นยอดนี้ทั้งคุณภาพ และความอร่อย ยกระดับราคาเพื่อเพิ่มรายได้ให้สมาชิกสหกรณ์และชาวนา” ผู้ว่าฯ ร้อยเอ็ด กล่าวในช่วงท้าย
สมนึก บุญศรี รายงาน