ข่าวกาฬสินธุ์ ข่าวรอบรั้วภูธร ข่าวเด่น

อดีตกำนันดังกาฬสินธุ์ ร้องเครนทับลูกชายดับที่บึงกาฬ นานสองเดือนยังไร้วี่แววเยียวยา

26 กรกฎาคม 2567 ที่สำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ ที่ชั้น 4 ศาลากลาง จ.กาฬสินธุ์ นายอุทัย เศรษฐนันท์ อายุ 64 ปี อดีตกำนันตำบลหนองกุง อยู่บ้านเลขที่ 85 หมู่ 4 ต.หนองกุง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนางสมัย เศรษฐนันท์ อายุ 63 ปี ภรรยา นำเอกสารที่เป็นหลักฐานบันทึกแจ้งความ และบันทึกการตกลงค่าสินไหมทดแทน ร้องขอความช่วยเหลือกับฝ่ายกฎหมายสำนักงานยุติธรรมและสื่อมวลชน หวั่นไม่ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน ทั้งๆที่ทางฝ่ายบริษัทคู่กรณี ลงนามยินยอมต่อหน้าพนักงานสอบสวนและทนายความแล้ว

นายอุทัย เศรษฐนันท์ อายุ 64 ปี อดีตกำนันตำบลหนองกุง กล่าวว่า ตามที่ นายจิตติชัย เศรษฐนันท์ ลูกชาย อายุ 32 ปี ถูกเครนไซด์ของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งทำงานก่อสร้างสะพานไทย-ลาว แห่งที่ 5 ต.วิศิษฐ์ อ.เมือง จ.บึงกาฬ ล้มทับเสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 พ.ค.67 ช่วงเวลาประมาณ 21.20 น. ที่ผ่านมา พร้อมเพื่อนคนงานอีก 2 คน คือนายวราวุฒิ อ้วนแก้ว อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 หมู่ 1 ต.น้ำก่ำ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม และนายสมพงษ์ เจียมรัมย์ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ 7 ต.เมืองโพธิ์ อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ซึ่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองบึงกาฬ พร้อมแพทย์เวร รพ.บึงกาฬ ร่วมชันสูตร ตรวจที่เกิดเหตุ และรับเป็นคดีชันสูตรพลิกศพแล้ว แต่ถึงขณะนี้ ยังไม่ได้รับเงินสินไหมชดเชยการเสียชีวิต จากบริษัทรับเหมาใหญ่เจ้าของเครนที่ล้มทับ และเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตเลย โดยที่ผ่านมาได้รับเงินค่าจัดการศพเพียง 40,000 บาท เท่านั้น


นายอุทัยกล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา โดยการประสานของ ร.ต.อ.รัฐพล เดชนรสิงห์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบึงกาฬ ได้มีการติดต่อประสานเพื่อตกลงค่าสินไหม กระทั่งมีการบันทึกตกลงค่าสินไหมกันที่ สภ.เมืองบึงกาฬ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.67 ระหว่างตัวแทนบริษัทรับเหมาใหญ่ กับญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย โดยญาติผู้เสียชีวิตทั้งหมดเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนศพละ 500,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,500,000 บาท ก่อนที่จะมีการต่อรองราคากันใหม่ 2 ศพแรกคงเหลือศพละ 200,000 บาท แต่ตนยอมลดจำนวนเงินลงเหลือ 400,000 บาท ซึ่งทางตัวแทนบริษัทคู่กรณี ยินยอมรับข้อเสนอ และจะจ่ายเงินให้ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 45 วัน จากนั้นทุกฝ่ายลงนามในบันทึกตกลงค่าสินไหมทดแทน ต่อหน้าพนักงานสอบสวน ที่เป็นสักขีพยาน
“จากวันที่บันทึกตกลงค่าสินไหมทดแทน และจากการติดต่อทางโทรศัพท์ผ่านพนักงานสอบสวนฯ เพื่ออยากทราบถึงความคืบหน้าการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ก็ได้รับคำตอบว่าทางฝ่ายบริษัทฯยังเฉยอยู่ ไม่มีการติดต่อมาอย่างใด จึงไม่มีความชัดเจนที่จะจ่ายเงินเลย ทำให้ตนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากวันพรุ่งนี้ (27 ก.ค.) ก็จะครบ 45 วันตามที่บันทึกตกลงกันแล้ว ซึ่งไม่มั่นใจว่าทางบริษัทจะจ่ายค่าสินไหมให้ จึงได้นำเอกสารที่เป็นหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับการเสียชีวิตของลูกชาย มาร้องขอความเป็นธรรมต่อฝ่ายกฎหมายสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ และสื่อมวลชน ให้ช่วยประสานพนักงานสอบสวนและทางบริษัทฯคู่กรณี ให้รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วย” นายอุทัยกล่าว

ด้านนางสมัย เศรษฐนันท์ อายุ 63 ปี แม่นายจิตติชัยผู้เสียชีวิตกล่าวทั้งน้ำตาว่า นายจิตติชัยเป็นลูกชายคนเดียวของตน เคยมีภรรยาแต่ได้หย่าร้างกัน และต้องรับภาระหาเลี้ยงครอบครัวและส่งเสียลูกสาว 1 คน ที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 2 จากการสูญเสียลูกชายซึ่งเป็นกำลังหลักสำคัญในการหาเลี้ยงครอบครัว โดยที่ยังไม่ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน ทำให้ตนรู้สึกไม่สบายใจ นอนร้องไห้ทุกคืน เกรงว่าทางบริษัทรับเหมาคู่กรณีจะไม่ยอมจ่ายเงิน ทุกวันนี้จึงเหมือนหมดที่พึ่ง จึงได้มาร้องขอความช่วยเหลือกับฝ่ายกฎหมายสำนักงานยุติธรรมฯ และร้องทุกข์ผ่านสื่อมวลชนในครั้งนี้ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย กรณีลูกชายถูกเครนของบริษัทล้มทับเสียชีวิต และหวังจะได้เงินส่วนนั้นเป็นค่าเลี้ยงดูและส่งเสียลูกสาวนายจิตติชัยได้เรียนหนังสือ เพราะทุกวันนี้ลำบากและเดือดร้อนมาก ต้องหยิบยืมเงินญาติพี่น้อง เพื่อใช้จ่ายในครัวเรือนและให้หลานไปโรงเรียน ตนกับนายอุทัยสามีซึ่งอายุมากแล้ว ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จะไปรับจ้างก็ไม่ไหว หรือจะให้เทียวไปติดต่อกับตำรวจ สภ.เมืองบึงกาฬก็ไม่ไหว เพราะระยะทางไกลมาก และไม่มีเงินค่าเดินทาง จึงขอความเห็นใจจากบริษัทรับเหมาเจ้าของเครนที่ล้มทับลูกชายเสียชีวิต ได้รับผิดชอบโดยจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วย


ขณะที่ ดร.นฤพล เมนไธสง ที่ปรึกษากฎหมาย สำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังจากได้สอบถามปัญหาความเดือดร้อน ของนายอุทัยและนางสมัย บิดา-มารดานายจิตติชัยผู้เสียชีวิตแล้ว ได้ให้คำแนะนำว่าให้รอการประสานจากพนักงานสอบสวน ซึ่งหากทางบริษัทคู่กรณีไม่ทำตามข้อตกลง และไม่ยอมเยียวยา จะได้มีการสั่งฟ้องบริษัทรับเหมาถึงอัยการ และอัยการส่งฟ้องศาลตามขั้นตอนของกฎหมายในลำดับต่อไป ซึ่งจะเป็นในส่วนของการฟ้องร้องค่าอุปการะบิดา-มารดา และบุตรที่กำลังศึกษาอยู่ ส่วนในขั้นตอนต่อไปจากจำเป็นต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ทางสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ ก็จะมีกองทุนช่วยเหลือ เพื่อดูแลค่าใช้จ่ายให้ ไม่ต้องกังวลใดๆ เบื้องต้นได้บันทึกรับเรื่อง และยื่นความจำนงขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากกการสอบถามความคืบหน้าของคดี ทางโทรศัพท์กับ ร.ต.อ.รัฐพล เดชนรสิงห์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบึงกาฬ ทราบว่าตั้งแต่เกิดเหตุ พนักงานสอบสวนไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามติดต่อคู่กรณีมาเจรจา เพื่อตกลงหาข้อยุติกันตลอด กระทั่งเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยเบื้องต้น และมีการบันทึกข้อตกลงค่าสินไหมทดแทนร่วมกัน ระหว่างบริษัทเจ้าของเครน กับญาติผู้เสียชีวิต แต่ถึงวันนี้เท่าที่ทราบว่ายังไม่มีการจ่ายเงินกันแต่อย่างไร ทั้งนี้ภายในสัปดาห์หน้า หากไม่มีความคืบหน้า พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อกล่าวหากับทางบริษัท และดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อให้ความเป็นธรรมกับญาติผู้เสียชีวิต