เพชรบูรณ์- กำลังเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานนับร้อย พร้อมเครื่องมือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างครบ เพื่อเข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ลุกล้ำเขตอุทยานแห่งชาติเขาค้อ ชาวบ้านไม่ยอม ใช้เวลาเจราจาตลอดทั้งวันไม่เป็นผล เรียกร้องขอให้ใช้กระบวนการทางศาล
วันที่ 22 มกราคม 2567 เวลา 10.00 น. นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช นำกำลังเจ้าหน้าที่กรมอุทยาน นับร้อยนาย ได้เดินทางมาพร้อมเครื่องมือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง เพื่อเข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ของนายปิยวัฒน์ แซ่เถา และของนางสาวสิริยากร แซ่ว่าง ที่บริเวณภูทับเบิก บ้านน้ำเพียงดิน หมู่ 8 ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่กรมอุทยานอ้างว่าบุกรุกเขตอุทยาน
โดยมีนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ฯ เข้าพูดคุยเจรจา พร้อมนำเอาคำพิพากษาเมื่อปี 60 ที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วอ่านให้กลุ่มชาวบ้านฟัง ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวได้พิพากษาถึงที่สุดแล้วและได้มีการรื้อถอนไปแล้วเรียบร้อย แต่ชาวบ้านไม่ยอมต้องใช้ความพยายามในการเจรจาแบบละมุนละม่อม เป็นระยะตลอดทั้งวันที่ตั้งเช้าจรดเย็น ซึ่งกำลังเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานก็ได้มีการจัดแบ่งกำลังออกเป็นสองชุด ชุดแรกอยู่ด้านหน้า ชุดที่สองไปด้านหลัง ชาวบ้านเองก้แบ่งกำลังไปต่อต้านทั้งด้านหน้าและด้านหลังเช่นเดียวกัน ทำให้สถานการณ์ดูตรึงเครียด แต่ก็ไม่มีเหตุรุนแรงใดๆเกิดขึ้น
ซึ่งนายชัยวัฒน์ฯ ได้กล่าวว่า ชาวบ้านเขาต้องทำกินเราเข้าใจ เราไม่ได้มารังแกเราก็บอกเขาแล้วว่าเหตุสองเหตุนี้เท่านั้น เรื่องเดิมคือเป็นคดีเก่าที่มีการบุกรุกและศาลได้ตัดสินไปแล้วและได้มีการบุกรุกซ้ำ ทีนี้แนวเขตของกุ๊ดวิวเขาก็ไปสร้างลานกางเต็นแล้วก็ไปทำโซล่าเซลมันเป็นแนวเขตมันก็โดนกันทั้งหมด เราก็ทำตามมาตรา 35 (1) (2) วันนี้ ทำตาม (3) ซึ่งกระทรวงและรัฐมนตรีก็มีความเห็นแล้วประมาณว่าก็ต้องรื้อถอนไปตามคำสั่ง เราอ้างตามมาตรา 35 (3) (2) เขาได้อุทธรณ์ไปแล้วทางกระทรวงไม่รับฟังคำอุทธรณ์ ให้รื้อถอนเป็นไปตามคดีเก่า เป็นไปตามคำสั่งศาล แบบนี้ขัดคำสั่งศาลหรือเปล่าหรือบอกว่ามันคนละที่รังวัด มันคนละจุดมันนิดเดียวเอง จากการขยับอาคารรื้อของเก่าขยับไปแค่สามเมตร แล้วบอกว่ามันเป็นคนละสิ่งปลูกสร้าง ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทำ แล้ววันหนึ่งจะโทษเจ้าหน้าที่อุทยานไม่ทำอะไร ป่าหมดก็โทษเจ้าหน้าที่อุทยาน พอเรามาทำงานก็โดนอย่างนี้ ทำก็โดนไม่ทำก็โดน ในกรณีอย่างนี้พี่ๆน้องๆเราต้องเข้าใจ ว่าเราเองเราส่งเสริมการท่องเที่ยวอยู่แล้ว เมื่อวานผมก็อนุญาตถนน 13 กิโล อยู่ในเขตเขาค้อ
ขณะที่นายปิยวัฒน์ แซ่เถา กล่าวว่า ตอนนี้แฟนของผมถูกดำเนินคดีอยู่นี้ คือนางสาวสิริยากร แซ่ว่าง ไม่ได้อยู่ในที่ ที่ท่านชัยวัฒน์ฯ บอกว่าศาลเขาสั่งแพ้ไปนะครับ ของผมนี่เป็นคดีใหม่ คำสั่งหรือคำพิพากษาที่เข้ามานี่เป็นคดีเก่า ที่คุณบุญพัน ที่แต่ก่อนนี้เขาทำอยู่ ตรงนี้แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่า เป็นคดีอุทยานหรือคดีป่าไม้ ก็ไม่ได้คลุกคลีเท่าไหร่ แต่ตอนรื้อเนี่ยผมก็มาช่วยกันรื้อออกไปหมดแล้ว ส่วนที่ของผมเนี่ยมันไม่ได้เกี่ยวกับแปลงนั้น ที่ของนางสาวสิริกร แซ่ว่าง ที่โดนคดีไปนี้ มันเป็นแฟนของผมเอง แล้วผมก็ให้แฟนผมเป็นคนทำ
ตอนนี้คดีเขาส่งไปที่ตำรวจแล้วเพิ่งจะไปถึงชั้นอัยการ ยังไม่ได้ส่งฟ้องศาล เพราะฉะนั้นผมก็เลยขอทางอุทยานว่าถ้ายังไงก็รอให้ศาลเขาตัดสินก่อนว่ายังไงถ้าศาลเขายืนว่าผมบุกรุกเขตอุทยาน ผมก็จะถอยออกมาและรื้อออกให้ เพราะว่าตั้งแต่อุทยานประกาศเมื่อปี 2555 ทางเจ้าหน้าที่ไม่เคยมีหนังสือมาแจ้งหรือว่าไม่เคยมีเจ้าหน้าที่มาแจ้งผมเลยว่าของผมมีส่วนอยู่ในเขตอุทยาน เพราะฉะนั้นผมแทบจะไม่รู้เลยว่าตรงนี้เป็นเขตอุทยาน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ยอมรับว่าตรงนี้เป็นเขตอุทยาน
ผมจะยังยอมรับว่ามันเป็นที่ดินของผม ผมอยู่มาตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 18 มกราคม 2509 แล้วก็ทำกินมาเนิ่นนานแล้ว ส่วนที่เขาจับผมดำเนินคดีไป ผมก็เข้าใจว่า เขาก็มาอ้างว่าของผมเนี่ย มีส่วนนึงที่มันไปเกี่ยวกับทางอุทยาน ผมก็แจ้งเขาไปแล้วว่าถ้าอย่างนั้น ผมขอให้ทางคดีที่ศาล ที่เป็นคดีอาญาสิ้นสุดก่อน แล้วผมจะยืนตามศาล แล้วก็ผมก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการร้องศาลปกครองอยู่ เพราะว่าผมได้ทำหนังสืออุทธรไปที่อุทยานแห่งชาติเขาค้อ ผมขอยืนยันว่ามันเป็นละแปลง กับคดีของปี 60 ที่ท่านมาอ้างคำสั่งศาลอันเก่านั้น ผมเข้าใจและได้มีการรื้อออกไปแล้ว และผมก็ไม่รู้ว่าเป็นคดีอุทยานหรือคดีป่าไม้
แต่ว่า ณ ตอนนี้ที่โดนคดีอยู่ทั้งของนายบุญทันและนางสาวสิริกรอยู่นี้ เป็นคดีอุทยาน อยู่ในขั้นตอนของอัยการอยู่ จึงไม่ยอมรับว่าเขตตรงนี้ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาค้อ ผมยังยืนยันว่าเป็นที่ดินทำกินของผม ส่วนเมื่อปี 57 ที่เขามาแจ้ง ผมรู้แต่ว่าอยู่ใต้หน้าผาลงไปนะครับ มันมีอยู่ทั้งหมด 31 ราย ส่วนนั้นเมื่อปี 63 เขาก็ได้ไปแจ้งชื่อตามมาตรา 64 ไปแล้ว ว่าที่ทำกินของเขาอยู่ในเขตอุทยาน แต่ในส่วนของผมที่ผมไม่ไปแจ้งเพราะไม่เคยมีใครมาแจ้ง ว่าที่ของผมอยู่ในเขตอุทยาน
ผมก็ทำกินปกติตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ เปลี่ยนจากการทำการเกษตร แล้วก็การทำการเกษตรจะมีการพักเป็นบางปี พักปีสองปีแล้วก็มาถางแล้วก็มาทำใหม่ แล้วก็มาเมื่อปี 62 ก็มาก็เปลี่ยนอาชีพจากการเกษตร มาทำเป็นที่พักโฮมสเตย์ ให้ลูกค้าได้เข้าพัก เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่กรมอุทยานได้ถอนกำลังกลับที่ตั้งไปแล้วเมื่อเวลา 15.44 น สามารถทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้บางส่วน คาดว่าพรุ่งนี้น่าจะมีการดำเนินการต่อ.