มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ สาขาภาคเหนือ ได้ร่วมจัดกิจกรรมงาน”ร่วมด้วยช่วยกัน สานฝันคนพิการ”ตามโครงการรณรงค์สิทธิคนพิการ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างชุมชนอยู่เย็นเป็นสุข พร้อมมอบโล่เชิดชูเกียรติหน่วยงานคนพิการดีเด่น และคนพิการดีเด่น เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2561 ศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ พร้อมด้วย นายวิรุฬ พรรณทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ,นายประหยัด ทรงคำ ประธานคณะอนุกรรมการมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ สาขาภาคเหนือ ได้ร่วมจัดกิจกรรมงาน”ร่วมด้วยช่วยกัน สานฝันคนพิการ”ตามโครงการรณรงค์สิทธิคนพิการ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างชุมชนอยู่เย็นเป็นสุข ณ ศูนย์ฝวึกอาชีพคนพิการอาเซียน ชลลิสา ภาณุ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นายประหยัด ทรงคำ ประธานคณะอนุกรรมการมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ สาขาภาคเหนือ มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ สาขาภาคเหนือ กล่าวว่า จัดงาน” ร่วมด้วยช่วยกัน สานฝันคนพิการ “ตามโครงการรณรงค์สิทธิคนพิการ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างชุมชนอยู่เย็นเป็นสุข ในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 1 ในจังหวัดเชียงใหม่ ในการส่งเสริมอาชีพ โดยมูลนิธิได้เล็งเห็นความสำคัญในการช่วยเหลือคนพิการที่อยู่อาศัยตามชนบททั่วไปที่ยังขาดโอกาสและขาดสิทธิที่จะได้รับจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยผู้พิการให้มีอาชีพ มีรายได้ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในการเป็นผู้ให้ มิใช่จะรอรับเพียงอย่างเดียว ควบคู่ไปกับการฝึกอาชีพสำหรับกิจกรรมภายในงาน”ร่วมด้วยช่วยกัน สานฝีนคนพิการ “มีการทอดผ้าป่านำรายได้เข้าส่งเสริมอาชีพคนพิการภายในมูลนิธิฯและมอบโล่เชิดชูเกียรติหน่วยงานคนพิการดีเด่น และคนพิการดีเด่น ตามโครงการรณรงค์สิทธิคนพิการ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างชุมชนอยู่เย็นเป็นสุข โดยศูนย์แห่งนี้ ได้ฝึกอมรมอาชีพอิสระให้แก่คนพิการ ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา รวมหลักสูตรแต่ละหลักสูตร 100 วัน 600 ชั่วโมง ระยะเวลา 6 เดือน โดยมูลนิธิได้พิจารณาถึงความเหมาะสมกับคนพิการและเป็นเกษตรปลอดสาร เกษตรอินทรีย์ ซึ่งคนพิการได้ทำจริง ใช้พื้นที่น้อยใช้น้ำน้อย ทำอยู่กับบ้านได้ลงทุนต่ำ สร้างรายได้จริงทั้งรายได้รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน มีตลาดรองรับ
โดยพื้นที่แห่งนี้ นางดวงกมล พานิชกุล อดีตเอกอัคราชทูตประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้ยกที่ดินให้มูลนิธิดังกล่าว 30 ไร่ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้พิการภายในและต่างประเทศ เพื่อให้คนพิการช่วยตนเองจะได้เกิดความยั่งยืน การช่วยแบบยั่งยืนและครบวงจร จะส่งผลให้คนพิการมีรายได้เลี้ยงตนเอง เลี้ยงครอบครัวอย่างไม่เดือดร้อนตามความเหมาะสมต่อไป.