“หลายหน่วยงาน ระดมผลักดัน “แม่แจ่มโมเดล”เพื่อลดหมอกควันและปริมาณหมอกควัน 2.5
นายเรืองพจน์ ธารานารถ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร เขต 6 เปิดเผยว่ากรมส่งเสริมการเกษตรยกทีมถอดรหัสแม่แจ่มโมเดล เพื่อใช้เป็นต้นแบบลด PM 2.5 ช่วยโลก เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งของทุกปี พื้นที่ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเหนือตอนบนมักจะประสบปัญหาปัญหา ฝุ่นควันที่เกิดขึ้น และปริมาณค่า PM 2.5 ที่สูงเกินมาตรฐาน จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน การท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้ ผู้ป่วยเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจ มีความเสี่ยงกับอันตรายสูงขึ้น รายได้ที่พึงจะได้จากการท่องเที่ยวหดหายไป เนื่องจากทัศนียภาพที่ไม่สวยสดงดงาม ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากการเผาไหม้ทั้งในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรกรรม รวมไปถึงหมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศ รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย มีนโยบายมุ่งเน้นการป้องกันปัญหาดังกล่าว จึงได้มีทั้งมาตรการและแนวทาง ทั้งในเชิงกฎหมาย เชิงความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย รวมไปถึงในเชิงของการให้ประโยชน์ตอบแทนที่จะป้องกัน ไม่ให้ปัญหาหมอกควันทวีความรุนแรง หลายปีที่ผ่านมามีภาครัฐ ภาคเอกชน และภาค ประชาสังคม ตลอดจนเกษตรกรได้ร่วมใจขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้และปรากฏผลสำเร็จหลายๆ ตัวอย่าง และแม่แจ่มโมเดลคือ 1 ในผลสำเร็จของกิจกรรมดังกล่าว
กรมส่งเสริมการเกษตร ทำหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนาความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น ภายใต้กิจกรรมการทำการเกษตรปฏิเสธ ไม่ได้ว่าจะถูกเชื่อมโยงข้องเกี่ยวกับกิจกรรมการเผาเพื่อกำจัดเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่นาของเกษตรกร และเป็นผู้ต้องหาของสังคมไปโดยปริยาย จึงเป็นหน้าที่ที่จะต้องรณรงค์ให้เกษตรกรที่ทำการเกษตรในพื้นที่โล่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการเผา เพื่อให้อากาศดีขึ้น นายครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมทีมงานประกอบด้วย นายกิตติพันธ์ จันทราศรี ผู้อำนวยการกองส่งเสริมโครงการพระราชดำริ การจัดการพื้นที่และวิศวกรรมเกษตร นายเรืองพจน์ ธารานาถ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่ นายเจริญ พิมพ์ขาล เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ จึงลงพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
เพื่อร่วมประชุมหารือกับนายสุระวุธ จันทร์งาม นายอำเภอแม่แจ่ม กำนันในพื้นที่ทั้ง 7 ตำบล และนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 8 แห่ง รวมถึงสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน) โครงการหลวง และสำนักงานการเกษตรอำเภอที่เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนงานในพื้นที่ โดยที่ประชุมได้แถลงถึงภาระหน้าที่ของตนเอง ในการขับเคลื่อนแม่แจ่มโมเดลที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของ เป้าหมาย แนวทางดำเนินการ ผลสำเร็จ และข้อค้นพบจากการดำเนินงานดังกล่าวเมื่อปี 2554-2559 และได้ขับเคลื่อนงานต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ด้วยบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ความตั้งใจของผู้ร่วมประชุมที่จะให้แม่แจ่มโมเดลเป็นต้นแบบขยายผลไปในพื้นที่อื่นๆ จึงมี ข้อค้นพบที่เป็นประเด็นสำคัญในแต่ละด้านคือ
ในส่วนของภาครัฐ ต้องมองเป้าหมายของภารกิจที่จะทำเป็นสิ่งสำคัญมากไปกว่าหน่วยงานต้นสังกัด หมายถึง การถอดหัวโขน ยึดมั่นถือมั่นในตำแหน่งหน้าที่และหน่วยงานที่สังกัด เพื่อจะได้ไม่นำมาเป็นพันธนาการจำกัดความคิดในเชิงพัฒนาในพื้นที่ ที่อาจจะมีความแตกต่างจากภารกิจที่เคยทำมา แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพื้นที่ เมื่อร่วมกัน คิดในแนวทางนี้ จะเห็นมุมมองจากภายนอกโฟกัสเข้าไปในกลุ่ม ก็จะเห็นแนวทาง ของตัวเองและหน่วยงานที่จะต้องขับเคลื่อนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและตรงกับความต้องการของเกษตรกรและสภาพพื้นที่
ในส่วนหน่วยงานในพื้นที่จะต้องมีกรอบ การทำงาน ที่ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาจะต้องอยู่ในกรอบของกฎระเบียบความถูกต้องความเหมาะสมและความคุ้มค่าของงบประมาณที่ได้รับ
ในด้านผู้ประกอบการ บริษัทภาคเอกชน ต้องมองถึง การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นลำดับแรกกว่ากำไรที่จะได้ เช่นการกำหนดมาตรการการรับซื้อสินค้าเกษตรที่มาจากการเผาให้แตกต่างไปจากสินค้าเกษตรปกติ ประโยชน์ที่ได้จากการจัดการเศษวัสดุให้เป็นผลสำเร็จมากกว่าการมุ่งเน้นที่จะได้กำไรจากกิจกรรมดังกล่าวทุกกิจกรรมทุกพื้นที่ และอาจจะมีการแสวงหาภาคีเครือข่ายที่มีความประสงค์จะทำ CSR ให้กับชุมชนอยู่ด้วยแล้ว จะได้พลังบวกยิ่งขึ้น
ด้านหน่วยงานวิชาการและพัฒนาในพื้นที่ ต้องเข้าใจบริบท ของสภาพพื้นที่และประชาชน ตลอดจนข้อจำกัดที่มี เพื่อนำเอาปัญหาข้อมูลเหล่านี้ไปเป็นโจทย์ตั้งแล้วนำเอาองค์ความรู้ทางวิชาการเข้ามาขับเคลื่อนให้เกิดผล ทั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง มหาวิทยาลัย และโครงการหลวง รวมไปถึงสำนักงานเกษตรอำเภอแม่แจ่ม และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ในอำเภอแม่แจ่มทั้งหมด
และสุดท้ายด้านประชาชนที่จะต้องให้ความร่วมมือ ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด ให้มองเข้าไปที่การนำเศษวัสดุที่มีมาใช้ประโยชน์อย่างไร ในกิจกรรมของตนเองให้มากที่สุดเป็นลำดับแรก มองถึงการนำเศษวัสดุไปจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้เป็นลำดับ 2 และ มองถึงการกำจัดเศษวัสดุ ในห้วงเวลาที่เหมาะสมเป็นลำดับสุดท้าย
ผลสำเร็จจากงานขับเคลื่อนแม่แจ่มโมเดลได้เกิดมิติความร่วมมือใหม่ และส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจนอาทิเช่น มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดของเกษตรกรใหม่ให้มองเห็นการบริหารจัดการพื้นที่ในมิติของดินน้ำป่าและการพัฒนาอาชีพโดยเฉพาะ การนำเอาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ในกิจกรรมในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม เกษตรกรมีรายได้และเป็นต้นแบบแห่งความยั่งยืน เช่น การนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ทำเป็นอาหาร หมักเลี้ยงวัวในพื้นที่และสามารถที่จะทำเงินได้หลักล้านต่อปี การ ปรับเปลี่ยนกิจกรรมการเกษตรที่มุ่งเน้นสู่ความยั่งยืนเช่น การปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวโพดเป็นแปลงผักอินทรีย์ ผักเมืองหนาว ภายใต้การผลิตที่ควบคุมด้วยมาตรฐานและมีตลาดที่รองรับอย่างชัดเจนในราคาที่เหมาะสม โดยมีผลตอบแทนที่ประจักษ์ว่าพื้นที่ 1 ไร่สามารถจะทำรายได้ให้มากเท่ากับการทำข้าวโพด 50 ไร่ภายในระยะเวลาที่เท่ากัน รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนไม้ผลไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าสูงทดแทนพื้นที่ปลูกข้าวโพด ซึ่งจะมีความยั่งยืนกว่าในอนาคตและสิ่งสำคัญจะลดภาระในการกำจัดเศษวัสดุจากข้าวโพดและยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าบนภูเขาหัวโล้น ที่ยาวนานมากกว่า 20 ปี
และด้วยผลพวงที่พื้นที่อำเภอแม่แจ่มถูกขับเคลื่อนภายใต้ของโครงการ คทช จึงส่งอานิสงส์ให้หลายพื้นที่ได้การรับรองการทำกินในพื้นที่ป่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางจิตใจ พร้อมจะส่งต่อให้กับบุตรหลานเกษตรกรที่จะคืนถิ่นเข้ามา ดำรงชีพในพื้นที่ในอนาคตอันใกล้
ข้อคิดแนวทางและบทเรียนจากการถอดรหัสแม่แจ่มโมเดล จะเป็นแนวทาง ที่หน่วยงานสังกัดกรมส่งเสริมการเกษตรได้นำไปเป็นต้นแบบและปรับเปลี่ยนตามกิจกรรมให้เหมาะสมกับพื้นที่อื่นๆ ด้วยความมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนงานในการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่นาให้เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม และจะช่วยลดปัญหาหมอกควันซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนได้ในที่สุด.