ข่าว ร้อยเอ็ด

ร้อยเอ็ด… ลาบเทา!!!เมนูอาหารไทอิสานหา เปิ้บ…ยากเด้อ….

https://www.youtube.com/watch?v=dxNm0d_F4MA&feature=youtu.be
ร้อยเอ็ด…
ลาบเทา!!!เมนูอาหารไทอิสานหา เปิ้บ…ยากเด้อ….

*”เทา”เป็นพืชน้ำที่อยู่ตามแม่น้ำลำคลองตามธรรมชาติในทุ่งไร่ปลายนาทั่วไป และเป็นพืชน้ำหรือสาหร่ายน้ำจืดที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารพื้นบ้านทางแถบภาคอิสาน จริงๆแล้ว”เทา”ที่นำมาลาบแบบแซ่บๆนักวิชาการบางท่านเรียกว่า สาหร่ายน้ำจืดมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า Spirogyra(สไปโรไจรา)นอกจากจะกินแล้วแซ่บและอิ่มท้องแล้วยังมีประโยชน์ โดยกล่าวสรุปไว้ว่าสไปโรไจรามีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร …..**วันนี้นางดารา แวงวรรณ อายุ 54 ปี บ้านเลขที่ 102 ม.3 บ้านกุดก่วง ต.วังสามัคคี อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด.แม่ค้าขายอาหารพื้นบ้านสำเร็จที่ตลาดเทศบาลตำบลโพนทอง กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองขายอาหารพื้นบ้านปรุงสำเร็จมาจำหน่ายราคาถูกประจำทุกวัน..มี ซุปหมากหมี้,ซุปหนอไม้ส้ม, หมกฮ้วก,ป่นจี๋นูน แต่ถ้าเป็นเดือนข้างขึ้นจะมีเมนูอาหารพื้นบ้านเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างคือ”ลาบเทา” จำหน่ายราคาถุงละ 10 บาท ป้าดาราเล่าให้ ผสข.ฟังว่าลาบเทาอยากให้แซ่บและสะอาดปลอดภัยแล้วล่ะก็มีสูตรเด็ด

ดังนี้
วัสดุและส่วนผสมเครื่องปรุง”ลาบเทา”
เทา 1 ถ้วย
มะเขือเปราะ 2-3 ลูก(มะเขือขื่นเท่านั้น)
ข่าอ่อน 1 แง่ง
ถั่วลิสงค์ขั้ว
แจ่วปลา 1 ถ้วย (ป่นปลา)
ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 3-4 หัว
ต้นหอมผักชี 5-6 ต้น
ขั้นตอนและวิธีทำ”ลาบเทา”เอาเทามาล้าง เก็บเศษดินเศษไม้ออกล้างสี่ห้าน้ำให้สะอาด แล้วปั้นเอาน้ำออกให้หมด นำไปสับเหมือนสับหมูเลย
หั่นข่าอ่อน,หั่นมะเขือขื่น,หอมแดง,ผักชี,หั่นหรือซอยเล็กๆบางๆ เติมด้วยถั่วลิสงค์ขั้ว น้ำปลาร้า,ป่นปลาลงไปปรุงในหม้อร้อนๆเดือดๆบาดเนี้ยกะ เอา”เทา”ที่ล้างและสับเตรียมไว้แล้วมาใส่ในหม้อที่จะปรุง ใส่ข้าวคั่ว,พริกป่น, แล้วก็คนให้เข้ากัน…
***นายเอ๊าะ แวงวรรณ ผู้เป็นสามี วัย 66 ปีของนางแวงวรรณ บอกว่า “เทา” จะเกิดในวันที่เดือนข้างขึ้น เดือนข้างแรมจะวายไม่มีให้เก็บมาประกอบอาหาร สมัยปู่ย่าตายายเรียกว่าอาหารการกินแทบจะไม่ได้ซื้อกันเลย หาได้ตามป่าตามสวนตามท้องไร่ท้องนานั่นเองแต่ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่เกิดมามีเทคโนเลยีที่ทันสมัยเข้ามามากมาย เลยไม่ค่อยจะรู้จักอาหารพื้นบ้านกันสักเท่าไหร่ การใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่เร่งรีบ การที่คนอีสานมีวิถีชีวิต อยู่กับธรรมชาติ แบบนี้ทำให้เป็นคนจิตใจดี มีมิตรไมตรีที่ดี ต่างกับวิถีชีวิตในเมืองกรุงที่ต้องเร่งรีบ โหมงานหนักอาจทำให้ร่างกายทรุดโทรม เจ็บป่วย จิตใจก็แย่ ……
ดำเนิน พรมไชยา/รายงาน