แม่ทัพภาค 3 ร่วม บช.ปส. แถลงจับเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมยึดยาบ้ารวม 12 ล้านเม็ด และไอซ์ 100 กิโลกรัม
พลโท ฉลองชัย ชัยยะคำ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 ร่วม แถลงผลการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 7 คดี ผู้ต้องหา จำนวน 13 คน ดังนี้ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด จำนวน 6 คดีของกลาง ยาบ้า 12,200,000 เม็ด, ไอซ์ 104.1 กิโลกรัม โคเคน 7.97 กิโลกรัม และกัญชา 1,800 กิโลกรัม ภ.5 จำนวน 1 คดี ,ยาบ้า จำนวน 10,000,000 เม็ด และอื่นๆ อีกหลายรายการ ณ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร โดยมี พลตำรวจเอก เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร./ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันปราบปรามยาเสตติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.ตร.) เป็นประธาน , มี พลตำรวจโท ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รรท.รอง ผบ.ตร.(สส.), พลตำรวจโท ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ปป 6)/รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พลตำรวจโท ชินภัทร สารสิน รรท.ผบช.ปส., พลตำรวจตรี มนตรี สัมบุณณานนท์ รรท.ผบช.ภ.5, นายวิชัย ไชยมงคล รอง เลขาธิการ ป.ป.ส., รอง ผบช.ปส., ผบก.ในสังกัด บช.ปส. ร่วมแถลงข่าวฯ ด้วย
จากกรณี เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด (บก.สกส.บช.ปส.) ร่วมกับ กองทัพภาคที่ 3 ตำรวจภูธรภาค 5 เจ้าพนักงาน ปปส. ภาค 5 จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย คือ 1.นายวิทูร ปิยะพิภัทากูล อายุ 35 ปี 2. นายวิทยา วงศ์บุญชัยเลิศ อายุ 32 ปี และ 3. นายอวิชาติ ทรงสิทธิเจริญ อายุ 33 ปี ทั้งหมดเป็นชาวจังหวัดเชียงราย พร้อมกับของกลาง ยาบ้า 12,200,000 เม็ด ยาไอซ์ 100 กิโลกรัม และ รถกระบะบรรทุกติดหลังคา ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น ไมตี้เอ็กซ์ สีแดง ทะเบียน บร 8335 เชียงราย ที่ใช้ในการขนลำเลียงยาเสพติด โดยจับกุมได้ที่ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภทยาบ้าและไอซ์ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ”
หลังรับรายงานว่า มีกลุ่มชนเผ่าม้ง อำเภอเวียงแก่น และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ร่วมกันลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย มายังพื้นที่ตอนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะ ต่อมาชุดเฝ้าระวังพบรถต้องสงสัย บริเวณปากซอยสวนสาธารณะดอยแสล่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จึงแสดงตัวขอตรวจค้น พบกระสอบบรรจุยาเสพติดให้โทษ จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี เพื่อขยายผลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
อีกคดี ตำรวจภูธรภาค 5 สามารถตรวจยึดของกลางยาบ้า 10 ล้านเม็ด ที่บริเวณป่าละเมาะ ริมทางบ้านร่องศาลา อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย หลังมีรายงานว่า จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากเข้ามาในจังหวัดเชียงราย ช่วงวันหยุดยาว กระทั่งพบรถบรรทุกต้องสงสัยไม่ทราบสีและหมายเลขทะเบียน วิ่งผ่านเข้ามาด้วยความเร็ว บนถนนสายเทิง – เชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จึงขอตรวจสอบ แต่รถคันดังกล่าวขับรถหนีไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาได้รับแจ้งจากชาวบ้าน พบกระสอบฟางถูกทิ้งไว้ริมถนนบ้านร่องศาลา อำเภอแม่ลาว จึงเข้าตรวจสอบพบยาเสพติดจำนวนมากบรรจุภายใน จึงเชื่อว่า รถบรรทุกที่หลบหนีนำมาซุกซ่อนไว้ เพื่อรอรถคันอื่นมาสับเปลี่ยนและลำเลียงอีกทอดหนึ่ง ซึ่งระหว่างนั้นได้จัดกำลังสังเกตการณ์ แต่ไม่พบว่าผู้มารับยาเสพติด จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง
นอกจากนี้ สามารถจับกุมผู้ต้องหาลักลอบลำเลียงกัญชา อัดแท่ง 1,000 กิโลกรัม พร้อมจับกุมตัวนางสุรีฉาย โคตวัน และเครือข่าย ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนจังหวัดนครพนม ไปส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้รถกระบะและรถยนต์ เป็นยานพาหนะ จากการสอบปากคำ นางสุรีฉาย และพรรคพวก รับสารภาพว่า ได้ร่วมกันสำรวจเส้นทางลำเลียงยาเสพติด โดยได้ค่าจ้างครั้งละ 30,000 ถึง 40,000 บาท เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบาวนกองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติดดำเนินคดี
พลโท ฉลองชัย ชัยยะคำ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า สำหรับการจับกุมผู้ต้องหาและยาเสพติดในครั้งนี้ เกิดขึ้นได้จากการบูรณาการความร่วมมือกันของ
ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , ตำรวจภูธรภาค 5 , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ผนึกกำลังกันในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ โดยศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 เปิดยุทธการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของรัฐบาลและกองทัพบก ที่กำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่สำคัญ ที่ต้องได้รับการป้องกันและแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เพื่อลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ และในแต่ละภาคของประเทศไทย นั้น ทุกภาคส่วน ทั้ง ทหาร ตำรวจ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหา เพื่อมุ่งไปสู่การแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างยั่งยืนและยาวนาน
พลตำรวจเอก เฉลิมเกียรติ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ให้หมดไปจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด เพราะปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ ศอ.ปส.ตร. เร่งขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว ในปีงบประมาณ 2562 มุ่งเน้นดำเนินมาตรการที่ดำเนินการอยู่แล้ว 5 มาตรการคือ (1) มาตรการสกัดกั้นการลำเลียง (2) มาตารการปราบปรามจับกุมผ้กระทำผิด ผู้ค้า ตลอดทั้ง สืบสวนขยายผล ทำลายเครือข่าย และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญอย่างเด็ดขาด (3) มาตรการสืบสวนติดตามจับกุมตามหมายจับ คดียาเสพติด 7 ข้อหาหลัก และ พ.ร.บ.มาตรการฯ เพื่อเป็นการทำลายเครือข่ายแบบถอนรากถอนโคน (4) มาตรการป้องกันโครงการครู D.A.R.E. ประเทศไทย โครงการตำรวจประสานโรงเรียน (1 ตำรวจ 1 โรงเรียน) และ โครงการจัดระเบียบสังคมรอบสถาบันการศึกษา ซึ่งจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการจัดระเบียบสังคม (5) มาตรการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องยาเสพติด
ทั้งนี้ ได้กำหนดมาตรการเพิ่มอีก 2 มาตรการ คือ (1) มาตรการสร้างความเข้มแข็งในหมู่บ้าน/ชุมชน เน้นโครงการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติด ซึ่งกำหนดให้หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เป็นหมู่บ้านเป้าหมายหลัก (2) มาตรการการจัดเก็บฐานข้อมูลผู้เกี่ยวข้องยาเสพติด ด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลผู้เสพ ผู้ค้า และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและพื้นที่เสี่ยง ตลอดจนเพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมายตาม ร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับใหม่ ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
” ในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง เจ้าหน้าที่ทหาร ปปส. เป็นการทำงานเชิงรุก ตามมาตรการที่กำหนดไว้ ซึ่งให้ความสำคัญกับทุกมาตรการ มีการประสานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในความรับผิดชอบของทุกหน่วยงานอย่างเข้มข้น ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกัน คือ “การขุดรากถอนโคนอาชญากรรมที่เกี่ยวกับยาเสพติดให้หมดไปจากประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนและสังคมไทยอยู่อย่างมีความสุข อย่างยั่งยืนตลอดไป ”
ขอบคุณภาพขาก บช.ปส. และ กกล.ป้องกันชายแดน