7 สิงหาคม 2567 เวลา 06.30 น. สภ.ขุนทะเล อ.เมือง จ. สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุมีการใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กันหน้าที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ต. ขุนทะเล อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จากนั้น ร.ต.อ.ภานุวัฒน์ มณีน้อย พนักงานสอบสวนได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ และเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.ท.จรูญ รอดพันชู สว.สส. และเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 ที่เกิดเหตุพบ นายจำนงค์ เพลินแก้ว (ผู้ใหญ่เขียว) อายุ 58 ปี ผู้ใหญ่บ้าน และเป็นเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุรอพบเจ้าหน้าที่พร้อมได้มอบอาวุธปืนขนาด 11 มม.ให้กับตำรวจ และแจ้งว่าก่อนหน้านี้เวลาประมาณ 06.20 น. ตนได้ขับรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน ผผ 1077 สุราษฎร์ธานี กลับเข้ามาบ้านปรากฏว่ามีผู้ก่อเหตุทราบเพียงแต่ชื่อว่าหมวดภาส ซึ่งมีบ้านพักอยู่เยี้องกับบ้านพักของตนได้มาดักรอขณะกำลังจะเลี้ยวรถเข้าบ้านปรากฏว่าคู่กรณีได้ชักอาวุธปืนออกมายิงใส่ตนหลายนัด กระสุนถูกตัวถังรถบริเวณประตูด้านฝั่งคนขับ จากนั้นตนได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงโต้ตอบออกไป ก่อนที่คู่กรณีจะวิ่งหลบหนีไปและได้แจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ ในที่เกิดเหตุพบรองเท้าแตะของผู้ก่อเหตุบนถนน และพบปลอกกระสุน ขนาด 11 มม. ตกเกลื่อนอยู่ตามถนนและบริเวณลานหน้าบ้านของผู้ใหญ่เขียว เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจเก็บพยานหลักฐานเป็นปลอกกระสุน จำนวน 10 ปลอก ชิ้นส่วนหัวกระสุนอีก 2 หัว
เบื้องต้นทราบว่าก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 06.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเข้ามาทำการตัดกิ่งไผ่ซึ่งอยู่ริมถนนที่ปลูกอยู่ในที่ดินของผู้ก่อเหตุ แต่คืนที่ผ่านมาเกิดเหตุไฟฟ้าดับเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าสาเหตุเกิดจากต้นไผ่ไปเสียดสีกับสายไฟจนทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขัดข้อง จึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่หมวดภาส ก่อเหตุดักใช้อาวุธปืนยิงตน โดยอาจเข้าใจว่าตนเป็นผู้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ไฟฟ้าเข้ามาตัดต้นไผ่ในที่ดิน และยอมรับว่าก่อนหน้านี้ตนมีการกระทบกระทั่งกับคนในครอบครัวของหมวดภาส คาดว่าสาเหตุอาจเกิดจากการทำหน้าที่ของตนเนื่องจากพบว่าครอบครัวของผู้ก่อเหตุมักจะมีความขัดแย้งเกี่ยวกับเขตแดนที่ดินกับลูกบ้านอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อเกิดปัญหาตนในฐานะผู้ใหญ่บ้านจึงได้เข้าไปแก้ปัญหาจนทำให้ครอบครัวดังกล่าวไม่ชอบตน
อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ใช้วุธปืนยิงต่อสู้กับผู้ใหญ่เขียว ได้หลบหนีออกไปจากบ้านพักซึ่ง ตำรวจกำลังเร่งติดตามตัวขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐานได้ทำการเก็บคราบเขม่าดินปืนของผู้ใหญ่เขียว และจะได้ติดตามคู่กรณีมาสอบสวนต่อไป.