ข่าวรอบรั้วภูธร ข่าวศรีสะเกษ ข่าวเด่น

ไทย-กัมพูชา ขยายเวลาเปิดจุดผ่านแดนช่องสะงำอำเภอภูสิงห์ หนุนการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน

6 มกราคม 68 ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ราชอาณาจักไทย และนายเมียน จันยาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ราชอาณาจักรกัมพูชา ได้ร่วมกันเป็นประธานเปิดจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ โดยมีนายโธ ชินวีรยุทธ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย นายฮุน โซเพี๊ย รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย นาย กง กันนริด รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย พลตำรวจโหโค ลี ผู้บัญชาการตำรวจภูธธร จ.อุดรมีชัย พันเอก ชิน เมา รอง เสธ. ภูมิภาคทหารที่ 4 พลตรี ไพ โซะพาด รอง ผบ.พล น้อย.ร.41 ราชอาณาจักรกัมพูชา และพลตรี วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังกำลังสุรนารี พันตำรวจเอก ศุภชัย ศักรินพานิชกุล รอง ผบก.ก.ก.ศรีสะเกษ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังกำลังสุรนารี นายสุกิจ เหลืองสกุลไทย ปลัดจังหวัดศรีสะเกษ จ่าเอก สมควร สิงห์คำ นายอำเภอภูสิงห์ นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

ร่วมในพิธีเปิดจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ อย่างเป็นทางการ โดยการขยายเวลาจากเดิมกำหนดเปิดในเวลา 07.00 – 20.00 น ขยายไปอีก 2 ชั่วโมง เป็น 07.00 -22.00 น. ทั้งนี้เพื่อรองรับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และ การท่องเที่ยวร่วมกันของทั้งสองประเทศต่อไป


นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศการขยายเวลาเปิดจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นรอยต่อช่องจวม อำเภออัลลองเวง จังหวัดอุดรมีชัย ราชอาณาจักรกัมพูชา เนื่องจากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การสาธารณสุข และ การท่องเที่ยว จึงให้ขยายเวลาเปิดจุดผ่านแดนถาวรช่องสะอำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ เพิ่มขึ้น 2 ชั่วโมง เป็นเวลา 07.00 น. – 22.00 น. ของทุกวัน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ นับเป็นความร่วมมือของทั้งสองประเทศรองรับการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจ การค้า การสาธารณสุข และ การท่องเที่ยว ที่สำคัญ การขยายเวลาเปิดจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำเพิ่มขึ้น 2 ชั่วโมง จะทำให้จังหวัดศรีสะเกษมีการขยายตัวทางการค้าร่วมกันมากขึ้น อีกทั้งนักท่องเที่ยวจะมีความสะดวกสบายมากขึ้น ที่สำคัญ ความก้าวหน้าด้านการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วย จะสามารถรองรับผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นเส้นทางเชื่อมโยงการเข้ารักษาผู้ป่วยไปยังจังหวัดใกล้เคียงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

บุญทัน ธุศรีวรรณ รายงาน