สำนักข่าว Utusan มาเลเซีย ตีข่าวใหญ่ชูผู้นำไทย “จริงใจ” กับประชากรมุสลิมชายแดนใต้ กรณี เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเวลา 3 วันและเป็นครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง ทั้งนี้เพื่อ “ส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น” โดยผู้เขียนพาดหัวข่าวว่า “Lawatan Srettha bukti keikhlasan pemerintah Thailand terhadap penduduk Islam” หรือ “การเดินทางลงพื้นที่ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความจริงใจของรัฐบาลไทย ที่มีต่อประชากรมุสลิม” ซึ่งผู้เขียนได้ติดตามภารกิจของนายกรัฐมนตรีของไทยขณะเยือนชายแดนภาคใต้พร้อมกับข้อมูลการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ที่ว่า ”รัฐบาลจะจำกัดเสรีภาพของชาวมุสลิมชายแดนใต้หรือไม่“ แต่เอาเข้าจริงตรงกันข้าม เนื่องจาก การโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้คนในพื้นที่เข้าใจไปในทางที่ไม่ถูกต้อง แต่แท้ที่จริง ”รัฐบาลไทยไม่เคยเลือกปฏิบัติต่อประชากรมุสลิมเลย“
….ในความพยายามของกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐที่ได้มีการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของประเทศไทยให้ถูกมองว่า การกระทําของพวกเขาถูกต้องตามกฎหมายนับเป็นเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา นั้น พวกเขาได้ดําเนินการโฆษณาชวนเชื่อโดยอ้างว่ารัฐบาลไทยเลือกปฏิบัติและกดขี่ข่มเหงชาวมุสลิมในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ พวกเขาได้พยายามสร้างภาพว่า รัฐบาลไทยจํากัดเสรีภาพของชาวมุสลิม รวมถึงการแต่ง กายชุดมาลายูและดําเนินกิจกรรมทางศาสนา โดยมีการโฆษณาชวนเชื่อ และพวกเขาใช้เป็นข้ออ้างในการคุกคามเสถียรภาพและความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งสาบานตนเข้ารับตําแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย เมื่อ 22 ส.ค. 66 ตระหนักดีถึงความท้าทายอย่างมากในการจัดการกับความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และความท้าทายที่สุด คือ การพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่เคยเลือกปฏิบัติต่อประชากรมุสลิมเลย ความท้าทายของนายกรัฐมนตรี เศรษฐาฯยิ่งหนักหนาสาหัสเนื่องจาก ในการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยครั้งล่าสุด พรรคเพื่อไทยไม่ได้ที่นั่ง สส.ใน จ.ยะลา, จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานี เลยแม้แต่คนเดียว แต่มหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์และอดีตที่ ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร นั้น ท่านไม่ได้ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อที่ จะเพิกเฉยหรือจะไม่ให้การดูแลต่อประชากรมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยแต่ประการใดเลย เห็นได้ชัดเมื่อหลังจากสามเดือนของการเยือนโดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดาโต๊ะ ศรี อันวา อิบราฮิม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้ไปเยือน จ.ปัตตานี, จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส เป็นเวลา 3 วันตั้งแต่วันที่ 27- 29 ก.พ. 67 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น
การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ยังได้รับความสนใจเนื่องจากในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ที่ชาวมุสลิมจะเฉลิมฉลองเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี เศรษฐาฯ ไม่เคยและจะไม่ยอมให้คนภาคใต้ของประเทศไทยถูกละเลยแม้ว่าพรรคของเขาจะไม่มี สส.ในพื้นที่ ดังกล่าว สําหรับนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน การลงคะแนนเสียงเป็นเพียงมาตรการในช่วงการเลือกตั้งซึ่ง หมายความว่าเป็นกระบวนของการเลือกตั้ง ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการใคร นายกรัฐมนตรี เศรษฐาฯ ต้องการพิสูจน์ว่าเขาเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคนโดยไม่คํานึง ถึงเชื้อชาติและภูมิหลังทาง ศาสนา ด้วยเหตุนี้รัฐบาลเศรษฐาฯ จึงถือว่าภาคใต้ของประเทศไทยเป็น “อัญมณี” ที่ซ่อนอยู่ในประเทศ
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยไม่ต้องการเสียโอกาสต่อความดีงามที่มีอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ดังนั้นเขาจึงได้เยี่ยมชมเพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยต้องการที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรือง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย สร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองให้กับประชากรมุสลิมอย่างจริงจัง ให้ประชากรชาวมุสลิม เมื่อดูกําหนดการเยือนของนายกรัฐมนตรีวัย 62 ปี ก็น่าสนใจทีเดียว เพราะสถานที่แรก ๆ ที่เขาไปเยี่ยมชมคือมัสยิดกรือเซะ อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งมัสยิดดังกล่าวเป็นที่นับถือของชาวมุสลิม และได้บันทึก เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากประวัติศาสตร์การก่อสร้างกว่า 200 ปีแล้ว มัสยิดกรือเซะยังถูกใช้เป็น “เครื่องมือ” สําหรับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนและนักสู้ต่อต้านรัฐบาลไทย ในเมื่อพวกเขาได้ทําการโจมตีมัสยิดกรือเซะ
เมื่อ 28 เมษายน 2547 เพื่อเป็นการรําลึกถึงการเสียชีวิตของชาวมุสลิม 32 คน ภายในมัสยิดกรือเซะ เมื่อ 28 เมษายน 2547 ซึ่งกลุ่มแบ่งแยกดินแดนกล่าวหาว่าเป็นการกระทําของทหารของกองทัพไทย
การเยือนของนายกเศรษฐาฯ นั้น เขาต้องการแสดงความเห็นอกเห็นใจ ของรัฐบาลไทยและ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่เคยให้ความเห็นชอบหรืออนุญาตให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้ ดังนั้น จึงไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ถ้ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนจะยังคงใช้เหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์เพื่อที่จะปลดปล่อยปัตตานีและจังหวัดอื่น ๆ ทางภาคใต้ของไทย นอกจากมัสยิดกรือเซะ แล้ว นายกรัฐมนตรีไทยก็ยังได้เยี่ยมจังหวัดอื่นๆ เช่น จังหวัดยะลาและนราธิวาส ในการเยี่ยมจังหวัดต่างๆ นายกเศรษฐาฯ พยายามที่จะเข้าถึงความดีและวัฒนธรรมของชาวมุสลิม โดยการเยี่ยมชมมัสยิดและพบปะอย่างฉันมิตรกับพวกเขา และไม่ละเว้นการเยี่ยมชมตลาดท้องถิ่น ที่จังหวัดนราธิวาส นายกเศรษฐาฯ ได้เยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมอิสลามและศูนย์ศึกษาอัลกุรอานในพื้นที่อําเภอยี่งอ พิพิธภัณฑ์ซึ่งเปิดดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งได้รวบรวมสําเนาอัลกุรอานจํานวน 79 ชุด และอัลกุรอานเก่าที่เขียนด้วยลายมือและมีอายุระหว่าง 150 ปีถึง 1,100 ปี การที่มีการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์นั้นเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่ได้ขัดขวางการ พัฒนาและกิจกรรมของศาสนาอิสลาม โดยชาวมุสลิมในพื้นที่ ดังนั้นการมาเยือนของเศรษฐาฯ จึงตอกยํา้ ข้อเท็จจริงนั้น แท้จริงนั้นกลุ่มที่ยังคงมีความพยายามที่จะกล่าวหาว่า รัฐบาลไทยได้เลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิมนั้น จงได้ยุติ “งานโง่ๆ” ของพวกเขา เพียงแค่ดูการต้อนรับของชาวมุสลิมที่มีต่อนายกเศรษฐาฯ พวกเขาภูมิใจและ ปลื้มใจที่นายกเศรษฐาฯ เต็มใจที่จะไปมาเยือนพื้นที่นี้และพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลไทยได้คํานึงถึงชะตากรรมของชาวมุสลิมและมีความจริงใจที่จะพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว
สรุปได้ว่า การมาเยือนของนายกเศรษฐาฯ เป็นการส่งสัญญาณไปยังกลุ่มที่ยังต้องการคุกคาม สันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยให้หยุดการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ ชาวมุสลิมต้องการอยู่อย่างสงบสุขและด้วยความมุ่งมั่นที่แสดงโดย นายกเศรษฐาฯ สามารถที่จะให้ ความฝันของพวกเขาประสบความสําเร็จจากคํากล่าวของอัลลอฮ์ซุบฮานาฮูวาตาอาลาในซูเราะห์อาลีอมิรันอายัติที่ 159 ความว่า:
“และมีช่วงเวลาที่ดีกับพวกเขาในเรื่องนั้น เมื่อพวกเจ้าได้รวบรวมปณิธานของพวกเจ้าแล้ว จงวางใจในอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์”
ดังนั้นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจึงต้องชื่นชมความจริงจังและจริงใจของนายกเศรษฐาฯ กับความสำเร็จ ของการเจรจาสันติภาพที่รัฐบาลไทยกําลังดําเนินการอยู่ จงได้หยุดการประเดิมชีวิตประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย หากเป็นความจริงที่พวกเขากําลังต่อสู้เพื่ออนาคตของชาวมุสลิม จงได้หาวิธีที่จะสร้างสันติภาพในพื้นที่ อย่าลืมว่ารัฐบาลไทยไม่เหมือนระบอบไซออนิสต์ที่ฆ่าและขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออก จากบ้านเกิดเมืองนอน ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลไทยรวมทั้งนายกเศรษฐาฯ ไม่เคยละทิ้งความหวังและพยายามในการฟื้นฟูและสร้างสันติภาพในพื้นที่ดังกล่าว ในศาสนาอิสลามเราได้รับการสนับสนุนให้แสวงหา หนทางแห่งการปรองดองแทนที่จะใช้วิธีการนองเลือดโดยการสังเวยชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์..