อดีตผญบ.แม่แมะ นำชาวบ้านยันปกป้องผืนป่าแห่งนี้ เตรียมยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมธนารักษ์ “เพื่อรักษาผืนป่าแห่งนี้ให้ชุมชน” ใช้ร่วมกัน
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 5 ก.พ.2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบ กรณีที่ทางกลุ่มชาวบ้านแม่แมะ หมู่9 ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ร้องเรียนว่ามีกลุ่มคนเข้าแผ้วถางตัดต้นไม้เขตพื้นที่ป่าที่ จำนวน 16 กว่าไร่ ที่กลุ่มชาวบ้านได้รวมตัวกันเสนอให้เป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ เพื่อใช้ร่วมกันระหว่างชุมชนและเพื่ออนุรักษ์ป่าไม้นั้น โดยผู้สื่อข่าวลงพื้นที่พบกลุ่มชาวบ้านแม่แมะ นำโดยนายแก้ว ศรีหมอก อดีตผู้ใหญ่บ้านแม่แมะฯ พร้อมชาวบ้านจำนวนหนึ่งพากันเข้าไปดูจุดได้พื้นที่พิพาทที่ชาวบ้านได้ยื่นเรื่องขอจากกรมธนารักษ์ให้เป็นป่าชุมชนใช้ประโยชน์ร่วมกันในหมู่บ้านในขณะที่ผู้สื่อข่าวกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบอยู่นั้น ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้หน่วยป้องกันรักษาป่า ชม.ห้วยทราย อ.แม่ริม ได้เดินทางมาลงพื้นตรวจสอบกรณีตัดต้นไม้ โดยได้ทำการเข้า จับจุดตรวจสอบ GPS พื้นที่ดังกล่าว พร้อมแจ้งให้กลุ่มชาวบ้านว่าได้ลงพื้นที่พร้อมกับตรวจสอบพื้นที่เพื่อนำเรียนผู้บังคับบัญชาโดยพื้นที่แห่งนี้ยังไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวน หรือพื้นที่ราชพัสดุจึงได้มาตรวจสอบก่อนเพราะรับแจ้งมีการตัดต้นไม้จำนวนมาก
ด้านนายแก้ว ศรีหมอก อดีตผู้ใหญ่บ้านฯ กล่าวต่ออีกว่า พื้นที่ดังกล่าว เคยมีกลุ่มนายทุนเข้ามาทำการแผ้วถางตัดไม้ ปรับพื้นที่เพื่อจัดสรรทำเป็นบ้านพักตากอากาศ แต่ถูกยับยั้งจากชาวบ้านมาแล้ว แต่มาในครั้งนี้ เมื่อวานนี้วันที่ 4 ก.พ.ได้มีคนงานที่อ้างตัวว่ารับจ้างเข้ามาตัดต้นไม้แผ้วถางในราคา 10,000 บาท เพื่อถางป่าในพื้นที่ กว่า 16 ไร่ ซึ่งตนเองได้บอกให้หยุดการแผ้วถางป่าและตัดต้นไม้ แต่กลุ่มคนงานยังไม่ยอม ตนเองจึงโทรประสานป่าไม้ให้เข้าตรวจสอบและนำเรื่องร้องต่อสื่อมวลชน
นายแก้ว ศรีหมอก อดีตผู้ใหญ่บ้านแม่แมะฯ ได้เผยว่าพื้นที่ป่าแห่งนี้ทราบว่าเป็นพื้นที่ราชพัสดุ แต่ชาวบ้านได้ยื่นขอทำเป็นป่าชุมชนใช้ร่วมกัน แต่ก่อนหน้าเมื่อประมาณ 4 ปีได้มีกลุ่มนายทุนได้นำคนงานเข้ามาเพื่อจัดสรรทำเป็นบ้านพักโดยแบ่งเป็นหลายแปลงออกขาย แต่ถูกชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาขัดขวาง เพราะเห็นว่าเป็นป่าชุมชนมานานและใช้ร่วมกัน จนกลุ่มนายทุนยอมล่าถอยออกไป และชาวบ้านได้ทำเรื่องไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงนั้น และยังทำหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรี ให้รับทราบเพราะไม่อยากให้เกิดพื้นที่ “ป่าแหว่ง2 ” ขึ้นมาอีก ซึ่งเรื่องก็ยังดำเนินการกันอยู่ โดยหลังจากนี้ตนเองจะได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมธนารักษ์ เพื่อขอให้ดำเนินการเพื่อให้พื้นที่แห่งนี้เป็นป่าชุมชนต่อไป และขอยืนยันจะต่อสู้เพื่ออนุรักษ์พื้นป่าแห่งนี้ไว้ให้แก่ชาวบ้านและชุมชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน พร้อมยินดีให้ป่าไม้และหน่วยงานต่างเข้ามาปลูกป่าเพื่อร่วมอนุรักษ์ผืนป่า 16 ไร่ ไว้สืบต่อไปในอนาคต